วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ

 การใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการค้นหาข้อมูลและสารสนเทศ เฉพาะเรื่องที่ผู้ใช้ระบุแหล่งรวบรวมสารสนเทศ เพื่อเป็นประโยชน์ด้านต่างๆ 
วัตถุประสงค์ในการสืบค้นข้อมูล
1. เพื่อทราบรายละเอียดของข้อมูล 
2. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการศึกษาหรือทำงาน
3. เพื่อสร้างการเรียนรู้ให้กับตนเองและผู้อื่น
4. เพื่อตรวจสอบข้อมูล
5. เพื่อการนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
สามารถสืบค้นข้อมูลได้จากแหล่งใดบ้าง
Search  Engine
  หมายถึง เครื่องมือ หรือเว็บไวต์ที่อำนวยความสะดวกในการสืบค้นให้แก่ผู้ใช้ หมายถึง โปรแกรมที่ออกแบบเพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ค้นหาข้อมูลบนเว็บไซต์
แบ่งเป็น 3 ประเภท
1. อินเด็กเซอร์ ( Indexers )
 จะมีโปรแกรมช่วยจัดการหาข้อมูลในการค้นหาหรือที่เรียกว่า Robot วิ่งไปมาในอินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติ เพื่ออ่านข้อมูลจากเว็บเพจ
ตัวอย่างของเว็บ
- http:// www.altavista.com
- http:// www.hotbot.com
- http:// www.excite.com
2. ไดเร็กเทอรี ( Directories )
 จะใช้การเก็บข้อมูลโดยแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ สามารถเลือกดูหมวดหมู่ใหญ่ แล้วดูหมู่ย่อย โดยจะแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่ง URL และรายละเอียดของ URL
ตัวอย่างเว็บ
- http:// www.yahoo.com
-  http:// www.looksmart.com
-  http:// www.siamguru.com
3. เมตะเสิร์ช ( Metaseach )
 ใช้หลายวิธีการใช้หาข้อมูล โดยจะรับคำสั่งค้นหาจากเรา แล้วไปยังเว็บไซต์ที่เป็น Search Engine ทำให้เข้าถึงเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างเว็บ
- http:// www.dogpile.com
-  http:// www.profution.com
-  http:// www.thaifind.com

เว็บไซต์ที่ได้รับคำนิยม
Yahoo
  เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการแบบไดเร็กเทอรีเป็้นรายแรกในอินเทอร์เน็ต และมีผู้ใช้งานสูงสุด เพราะมีการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระเบียบ

Altavista
 มีฐานข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ โดยมีเว็บเพจอินเด็กซ์ เป็นจำนวนมากกว่า 150ล้านเว็บ เพจที่สามารถใช้หาข้อมูลได้
Excite 
 มัเว็บไซค์จำนวนมาก โยจะทำการค้นหาข้อมูลจาก World wide wed
Hotdoot

 เป็นเว็บไซค์มีจุดเด่นที่สามารถกำหนดเงื่อนไขขั้นสูงได้ง่ายกว่าเครื่องมืออื่นๆ
Go.com
 เป็นเว็บไซคืที่มีการนำเสนอข่าวทันเหตุการณ์ จากแหล่งข่าวต่างๆตลอดจนข่าวด้าานบันเทิงยังมีการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับตลาดหุ้น
Lycos
 มีขนาดใหญ่มากมีคลังข้อมูลมากกว่า 1,500,000ไซต์ โดยมีระบบการค้นหาข้อมูลที่รวดเร็ว
Look smart
 เกิดจากชาวออสเตรเลีย 2 คนไม่พอใจต่อการค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เนตจึงไปขอความช่วยเหลือจาก Read'Digest ทั้งสองจึงสร้างเว็บไซต์ที่คำนึงถึงความสะดวกของผู้อื่นใช้
WebCrawler
เป็นเว้บไซต์ที่มีคลังข้อมูลอยู่ในระดับปานกลาง จะข้อจำกัดก็คือ ใช้ค้นหาข้อมูลที่เป็นวลีหรือข้อความไม่ได้ ได้เฉพาะเป็นคำๆ
Dog pile
 เป็นเว็บไซต์ประเภทเมตะเสิร์ชที่ใช้งานง่าย
Ask jeeves
 สามารถถามคำถามที่อยากรู้ไปในช่องกรอกข้อความ โดยคลิกปุ่ม Ask แล้ว Ask leeves จะไปทำการค้นหาคำตอบ (Answer)
Profusion
 เป็นแบบเมตะเสิร์ช โดยเราสามารถเลือกได้ว่าใช้ search engine ใดในการค้นหา
Siamguru.com
 ภายใต้สมญานามว่า "เสิร์ชไทยพันธุืแท้" โดยให้บริการค้นหาข้อความแบบธรรมดาและพิเศษ ค้นหาภาพ  ค้นหาเพลง นักร้องต่างๆ โดยใช้เทคนิคที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับการค้นการค้นหาภาษาไทย มีการเก็บข้อมุลใหม่ๆตลอดเวลา

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ


รูปแบบเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน
 จำแนกตามการใช้ เป็น 6 แบบ ดังนี้
1) เทคโนโลยีที่ใช้เก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียมถ่ายภาพทางอากาศ , กล้องดิจิทอล

2) เทคโนโลยีที่ใช้บันทึกข้อมูล เป็นสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น เทปแม่เหล็ก , จานแม่เหล็ก , บัตรเอทีเอ็ม
3) เทคโนโลยีที่ใช้ประมวลผลข้อมูล ได้แก้ เทคโนโลยีคอมพิวเตอรื ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์
4) เทคโนโลยีที่ใช้แสดงผลข้อมูล เช่น เครื่องพิมพ์ , จอภาพ
5) เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดทำสำเนาเอกสาร เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร

6) เทคโนโลยีสำหรับถ่ายทอดหรือสื่อสารข้อมูล ได้แก่ ระบบโทรคมนาคม เช่น โทรทัศน์ , วิทยุกระจายเสียง

 
การใช้อินเทอร์เน็ต
 งานวิจัยพฤติกรรมของนักศึกษา พบว่า นักศึกษาใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อความบันเทิงเนื่องจากเห็นว่ามีความสะดวกสบาย
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน
 -การเรียนรู้แบบออนไลน์ ( e- Learning )
 - บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ( Computer Assisted Intruction -CAI )
 -วีดีทัศน์ตามอัธยาศัย ( Video on Demand )
 - หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( E-books)
การเรียนรู้แบบออนไลน์ (e -Leaning )
 เป็นการศึกษาเรียนรู้ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ โดยเนื้อหาประกอบไปด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วีดีโอ โดยผู้เรียนและผู้สอนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดได้อาศัยเครื่องมือการติดต่อสื่อสาร
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
( Computer Assisted Instruction / CAI )
 คือ บทเรียนคอมพิวเตอร์ซึ่งนำเสนอสารสนเทศที่ได้ผ่านกระบวนการสร้างและพิจารณาอย่างดี ซึ่งจะนำเสนอในรูปมัลติมีเดีย ประกอบด้วย อักษร รูปภาพ เสียง โดยอาศัยพฤติกรรมการเรียนรู้( Learning  Behavior) ทฤษฎีการเสริมแรง ( Reinforceme Theory ) โดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนมีการเรียนที่มีประสิทธิภาพ 
 - วีดิทัศน์ตามอัธยาศัย
  คือ ระบบเรียกดูภาพยนต์ตามสั่งที่จะอำนวยความสะดวก สามารถเลือกดูภาพยนต์ ข้อมูลภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงได้ตามต้องการดดยสามารถใช้งานนี้ได้จากเครื่องช่วยสื่อสาร ผู้ใช้งานซึ่งอยู่หน้าลูกข่าย สามารถเรียกดูข้อมูลที่เป็นภาพเคลื่อนไหวได้ทุกความต้องการ โดยสามารถย้อนกลับ ( rewind ) หรือกรอไปข้างหน้า ( Forword )
 - หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( E-book )

  หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถอ่านได้ทางอินเทอร์เน็ต โดยมีเครื่องมือที่จำเป็น คือ ฮาร์ดแวร์ ประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาพร้อมทั้งติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ใช้อ่านข้อความ ลักษณะไฟล์ของ    e-book สามารถเลือกได้ 4รูปแบบ คือ HTML , PDF , PML , XML
 - ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ( E- library )
 เป็นแหล่งความรู้ที่บันทึกข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและให้บริการสารสนเทศ
  มีคุณสมบัติ คือ
1) การจัดการทรัพยากรสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์
2) ความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศโดยอิเล็กทรอนิกส์
3) ความสามารถในการจัดเก็บ รวบรวมและนำสารสนเทศสู่ผู้ใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

- สารสนเทศ  หรือ Information หมายถึง  ข้อมูล ข่าวสารที่ได้รับการตีความ จำแนก จัดเป็นหมวดหมู่แล้ว นำมาใช้ในการสื่อสารที่เป็นประโยชน์
- เทคโนโลยีสารสนเทศ   หรือ IT เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญ มีความเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บ การประมวลผล และการแสดงผลสารสนเทศ
- องค์ประกอบหลักของเทคโนโลยีสารสนเทศ
  ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
     - เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
     - เทคโนโลยีโทรคมนาคม
1. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์  
   จัดเป็นเทคโนโลยีหลักของเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่่องจากมีการบันทึก การจัดเก็บ การประมวลผล การแสดงผล และการสืบค้นข้อมูล แบ่งย่อยเป็น 2 ส่วน คือ เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ และเทคโนโลยีซอฟต์แวร์
- เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ หมายถึง อุปกรณืทุกชนิดที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเครื่อง สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ ทำงาน 4 ส่วน คือ
  1) หน่วยรับข้อมูล
  2) หน่วยประมวลผลกลาง หรือ ซีพียู
  3) หน่วยแสดงผลข้อมูล ( Output Unit )
  4) หน่วยความจำสำรอง ( Secondary Storage Unit )
- เทคโนโลยีซอฟต์แวร์  
      โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ แบ่งเป็น 2ประเภท คือ
  - ซอฟต์แวร์ระบบ (System Softwear )
 ชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามคำสั่ง
  - ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ( Application Softwear )
ชุดคำสั่งที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน
2. เทคโนโลยีโทรคมนาคม
    เทคโนดลยีที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันทั่วไป เช่นระบบโทรศัพท์  ระบบดาวเทียม ระบบเครือข่ายเคเบิล
พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร
ยุคที่ 1  การประมวลผลข้อมูล มีวัตถุประสงค์เพื่อการคำนวณและการประมาลผล
ยุคที่  2  การบริหารจัดการ  มีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจ ควบคุบการดำเนินงาน
ยุคที่  3  การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ มีการใช้ในการช่วยตัดสินใจจำหน่ายงานไปสู่ความสำเร็จ
ยุคที่  4  ยุคปัจจุบัน มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นเครือข่ายในการช่วยจัดทำระบบสารสนเทศ
ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
1. ให้ความรู้ เกิดความคิดและความเข้าใจ
2.  ใช้ในการวางแผนการบริหารงาน
3.  ใช้ประกอบการตัดสินใจ
4.  ใช้ในการควบคุมสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต


องค์ประกอบของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ฮาร์ดแวร์ (Hard Ware)
- คอมพิวเตอร์
- ฮับ
- เราท์เตอร์
-บริดจ์
-เกดเวย์
-เน็ต
การทำงานของระบบNet Work และ Internet

โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์

1.เครือข่ายเฉพาะที่ (Local Area Network : LAN)
เป็นเครือข่ายที่มักพบเห็นกันในองค์กรโดยส่วนใหญ่ลักษณะของการเชื่อต่อคอมพิวเตอร์เป็น LAN จะอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ กัน เช่น อยู่ภายในอาคารเดียวกัน หรือหน่วยงานเดียวกัน

2.เครือข่ายเมือง( Metropolitan Area Network : MAN)
เป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อมต่อกันเป็นวงจรที่ใหญ่ขึ้น ภายในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ในเมืองเดียวกัน

3.เครือข่ายบริเวณกว้าง (Wide Area Network : WAN)
เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นไปอีกระดับ โดยเป็นการรวมเครือข่ายทั้ง LANและ MAN มาเชื่อต่อกันเป็นเครือข่ายเดียวกัน ดังนั้นเครือข่ายนี้จึงครอบคลุมพื้นที่กว้าง โดยมีการครอยคลุมไปทั้งประเทศ หรือทั่วโลก เช่นอินเทอร์เน็ต ซึ่งถือว่าเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
รูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย (Network Topology)
     การจัดระบบการทำงานของเครือข่ายนั้น มีรูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย แนวเป็นการจัดการวางคอมพิวเตอร์และการเดินสายสัญญาณคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายรวมถึงหลักการไหลเวียนข้อมูลในเครือข่าย โดยแบ่งโครงสร้างเครือข่ายหลักได้ 4 แบบ
1.เครือข่ายแบบดาว
2.เครือข่ายแบบวงแหวน
3.เครือข่ายแบบบัส
4.เครือข่ายแบบต้นไม้

1.เครือข่ายแบบดาว (Star Network)เป็นแบบการต่อสายเชื่อมโยงโดยนำสถานีต่างๆมาต่อรวกันกับหน่วยสลับสายกลาง การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้โดยการติดต่อผ่านทางวงจรของสายสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงคล้ายกับศูนย์กลางของการติดต่อวงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานีต่างๆ ที่ต้องการติดต่อกัน
    ลักษณะการทำงานแบบดาว
เป็นแบบการต่อสายเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารที่มีลักษณะคล้ายรูปดาวหลายแฉก โดยมีสถานีกลางหรือฮับเป็นจุดผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย สถานีกลางจึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการสื่อสารทั้งหมด นอกจากสถานีกลางยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางคอยจัดส่งข้อมูลให้กับโหนดปลายทางอีกด้วย การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบดาว จะเป็น 2ทิศทางโดยจะอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ จึงไม่มีโอกาสที่หลายๆโหนดจะส่งข้อมุลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกันเพื่อป้องกันการชนกันของสัญญารข้อมูลเครือข่ายแบบดาวเป็นรูปแบบเครือข่ายหนึ่งที่เป็นที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน


2.เครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Network)เป็นแบบที่สถานีของเครือข่ายทุกสถานีจะต้องเชื่อมต่อกับเครื่องขยายสัญญาณของตัวเองโดยจะมีการเชื่อมโยงของสัญญาณของทุกสถานีเชื่อมเข้ากันเป็นวงแหวน เครื่องขยายสัญญาณเหล่านี้จะมีหน้าที่ในการรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเองหรือจากเครื่องขยายสัญญาณตัวก่อนหน้าจะส่งข้อมูลต่อไปยังเครื่องขยายสัญญาณตัวถัดไปเรื่อยๆเป็นวง หากข้อมูลที่ส่งเป็นของสถานีใดเครื่องขยายสัญญาณของสถานีนั้นก็รับและส่งให้สถานีนั้น เครื่องขยายสัญญาณจึงต้องมีการตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับว่า เป็นของตนเองหรือไม่ถ้าใช่ก็รับไว้ถ้าไม่ใช่ก้ส่งต่อไป
      ลักษณะการทำงานของเครือข่ายแบบวงแหวน
เป็นการเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆเข้ากันเป็นวงกลมข้อมูลข่าวสารจะถูกส่งจากโหนดหนึ่งไปยังอีกโหนดหนึ่งวนอยู่ในเครือข่ายไปในทิศทางเดียวกันเหมือนวงแหวน (ในระบบเครือข่ายรูแวงแหวนบางระบบสามารถส่งข้อมูลได้สองทิศทาง)ในแตละโหนดหรือสถานีจะมีรีพีตเตอร์ประจำโหนด1ตัวซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเตมข่าวสาวที่จำเป็นต่อการสื่อสารในส่วนหัวของแพคเกจข้อมุลสำหรับการส่งข้อมูลออกจากโหนดจะมีหน้าที่รับแพ็คเกจข้อมูลที่ไหลผ่านมาจากสานสื่อสารเพื่อตรวจสอบว่าเป็นข้อมูลที่ส่งมาให้โหนดของตนหรือไม่ถ้าใช่ก้จะคัดลอกข้อมุลทั้งหมดนั้นส่งต่อไปให้กับโหนดของตนแต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยังรีพีตเตอรืของโหนดถัดไป

3.เครือข่ายแบบบัส (Bus Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆด้วยสายเคเบิลยาวต่อเนื่องไปเรื่อยๆโดยจะมีอุปกรณ์ที่เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอรืและอุปกรณ์เข้ากับสายเคเบิล ในการส่งข้อมูลจะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วงเวลาหนึ่งหนึ่ง การจัดส่งข้อมูลวิธีนี้จะต้องกำหนดวิธีการที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมุลพร้อมกันเพราะจะทำให้ข้อมุลชนกันวิธีการที่ใช้อาจแบ่งเวลาหรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่ สัญญาณที่แตกต่างกัน ในการติดตั้งเครือข่ายแบบบัสนี้ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชนิดถูกเชื่อต่อด้วยสายเคเบิลเพีบงเส้นเดียวซึ่งจะใช้ในเครือข่ายขนาดเล็กในองคืการที่มีคอมพิวเตอร์ใช้ไม่มากนัก
    ลักษณะการทำงานของเครือข่ายแบบบัส
อุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนดในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียกว่าบัส(Bus)
เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ยังอีกโหนดหนึ่งภายในเครือข่ายจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าบัสว่างหรือไม่ถ้าหากไม่ว่างก็ไม่สามารถจะส่งข้อมูลออกไปได้ทั้งนี้เพราะสายสื่อสารหลักมีเพียงสายเดียว ในกรณีที่มีข้อมูลวิ่งมาในบัส ข้อมูลนี้จะวิ่งผ่านโหนดต่างๆไปเรื่อยๆในขณะที่แต่ละโหนดจะคอยตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านมาว่าเป็นของตัวเองหรือไม่หากไม่ใช่ก็จะปล่อยให้ข้อมูลวิ่งผ่านไปแต่หากเลขที่อยู่ปลายทางซึ่งกำกับมากับข้อมูลตรงกับเลขที่อยู่ของตนโหนดนั้นจัรับข้อมูลเข้าไป

การประยุกต์ใช้งานของระบบเครือข่ายคอทพิวเตอร์
  ระบบเครือข่ายทำให้เกิดการสื่อสารและการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะหมายความรวมถึงการสื่อสารและแบ่งปันการใช้ข้อมุลระหว่างบุคคลด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้คืองานของระบบเครือข่าย
รูปแบบการใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งได้ 3 ประเภท
1.ระบบเครือข่ายแบบศูนย์กลาง
2.ระบบเครือข่ายแบบยPeer To Peer
3.ระบบเครือข่ายแบบ Clien / Server

1.ระบบเครือข่ายแบบศูนย์กลาง
 เป็นระบบที่มีเครื่องหลักเพียงเครื่องเดียวที่ใช้ในการประมวลผลตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางและจะมีการเชื่อมต่อไปยังเครื่องเทอร์มินอลที่อยู่รอบๆใช้การเดินสายเคเบิลเชื่อต่มอกันโดยตรง เพื่อให้เครื่องเทอร์มินอลสามารถเข้าใช้งานโดยส่งคำสั่งต่างๆมาประมวลผลหรือเครื่องกลางซึ่งมักเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมประสิทธิภาพสูง
2.ระบบเครือข่ายแบบ Peer To Peer
แต่ละสถานีงานบนระบบเครือข่าย Peer To Peer จะมีความเท่าเทียมกันสามารถที่จะแบ่งปันทรัพยากรให้แก่กันและกันได้ เช่น การใช้เครื่องพิมพ์หรือแฟ้มข้อมูลร่วมกันในเครือข่าย เครื่องอต่ละสถานีมีขีดความสามารถในการทำงานได้ด้วยตัวเอง Stand Alone คือจะต้องมีทรัพยากรภายในของตัวเอง  เช่นดิสก์สำหรับเก็บข้อมูล  หน่วยความจำที่เพียงพอ  และมีความสามารถในการประมวลผลได้

3.ระบบเครือข่ายแบบ
ระบบ Client / Server สามารถสนับสนุนให้มีเครื่องลูกข่ายได้เป็นจำนวนมาก และสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้หลายสถานี ทำงานโดยมีเครื่อง Server ให้บริการเป็นศูนย์กลางอย่างน้อยหนึ่งเครื่องและมีการบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆจากส่วนกลาง ซึ่งคล้ายกับระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์หกลาง แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือเครื่องที่ทำหน้าที่ให้บริการในระบบ Clien Sราคาไม่แพงมากซึ่งอาจใช่เพียงเครื่องไมโครคอมพิวงเตอร์สมรรถนะสูงในการควบคุมการให้บริการทรัพยากรต่างๆ
     นอกจากนี้เครื่องลูกข่ายยังจะต้องนอกจากนี้เครื่องลูกข่ายยังจะต้องมีความสามารถในการประมวลผล และมีพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลท้องถิ่นเป็นของตนเองอีกด้วย ระบบเครือข่ายแบบ Cleint/Server เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง สนับสนุนการทำงานแบบ Multiprocessor สามารถเพิ่มขยายขนาดของจำนวนผู้ใช้ได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มจำนวนเครื่อง Servers สำหรับให้บริการต่างๆ เพื่อช่วยกระจายภาระของระบบได้ ส่วนข้อเสียของระบบนี้ก็คือ มีความยุ่งยากในการติดตั้งมากกว่าระบบ Peer-to-Peer รวมทั้งต้องการบุคลากรเพื่อการบริหารจัดการระบบโดยเฉพาะอีกด้วย


 

ระบบคอมพิวเตอร์

 หมายถึง  กรรมวิธีที่คอมพิวเตอร์ทำการใดๆกับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้ใช้งานให้มากที่สุด เช่น ระบบเสียภาษี (e-Revenue)  ระบบทะเบียนราษฎร์  ระบบทะเบียนการค้า  ระบบเวชระเบียนของโรงพยาบาล เป็นต้น
    การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้โดยการตรวจสอบจากการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
 
    องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอรืที่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจะประกอบด้วยส่วนสำคัย 4ส่วนดังนี้
1.)ฮาร์ดแวร์ หรือส่วยเครื่อง (Hardware)
2.)ซอฟต์แวร์ หรือส่วนชุดคำสั่ง (Sotfware)
3.)ข้อมูล (Data)
4.)บุคลากร (Peopieware)

ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
      หมายถึง  ตัวเครื่องและอุปกรณ์ส่วนต่างๆที่เราสามารถสัมผัสและจับต้องได้  ฮาร์ดแวร์ประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 4 ส่วน ดังนี้
1.ส่วนประมวลผล (Processor)
2.ส่วนความจำ (Memory)
3.อุปกรณ์รับเข้าและส่งออก (Input-Output Devices)
4.อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล (Storage Device)

ส่วนที่ 1 CPU
 CPU เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เปรียบเสมือนสมอง
  มีหน้าที่หลักในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์  ประมวลผลและเปรียนเทียบข้อมูลโดยการทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลดิบและแปลงให้เป็นสารสนเทศที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ความสามารถของ ซีพียู นั้น พิจารณาจากความเร็วของการทำงาน  การรับส่งข้อมูล  อ่านและเขียนข้อมูลในหน่วยความจำ  ความเร็ววะที่เรียนว่า  สัญญาณนาฬิกาเป็นความเร็วของจำนวนรอบสัญญาณใน 1 วินาที มีหน่วยเป็น เฮิร์ตซ์ (Hertz) เช่นสัญญาณความเร็ว 1 ล้านรอบใน 1วินาที เทียบเท่าความเร็วสัญญาณของนาฬิกา 1 จิกะเฮิร์ตซ์(1GHz)
ส่วนที่ 2 หน่วยความจำ Memory
จำแนกออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. หน่วยความจำหลัก (Main Mamory)
2. หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage)

1.หน่วยความจำหลัก (Main Mamory)
   เป็นหน่วยข้อมูลเก็บข้อมูลและคำสั่งต่างๆของเครื่องคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย 
ชุดความจำข้อมูลที่สามารถบอกตำแหน่งที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่ง  ข้อมูลจะถูกนำไปเก็บไว้และสามารถนำออกมาใช้ในการประมวลผลภายหลัง โดย CPU ทำหน้าที่ในการนำข้อมูลเข้าและออกจากหน่วยความจำ  การทำงานของคอมพิวเตอร์ ต้องใช้พื้นที่ของหน่วยความจำในการทำงานประมวลผลและเก็บข้อมูล  ขนาดของความจุของหน่วยความจำ คำนวณได้จากค่าจำนวนพื้นที่ที่สามารถใช้ในการเก็บข้อมูล จำนวนพื้นที่คือจำนวนข้อมูล และขนาดขแงโปรแกรมที่สามารถเก็บข้อมูลได้สูงสุด พื้นที่หน่วยความจำมีมากจะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วมากยิ่งขึ้น
 
หน่วยประมวลผลกลาง หรือ CPU มีความหมายทางด้านฮาร์ดแวร์ 2 อย่างคือ
1.ชิป (Chip)ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์
2.ตัวกล่องเครื่องที่มีCPUบรรจุอยู่
   1.)หน่วยความจำหลัก
แบ่งได้ 2ประเภท คือหน่วยความจำแบบ "แรม"(RAM)และหน่วยความจำแบบ "รอม"(ROM)
        (RAM = Random   Access Memory)
เป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูล  ข้อมูลหรือแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ชั่วคราวขณะทำงาน  ข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำจะอยู่ได้นานจนกว่าจะปิดเครื่อง หรือไม่มีกระแสๆฟฟ้าป้อนให้กับเครื่อง เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า หน่วยความจำแบบลบเลือนได้ (Volatile Memory)
         (ROM = (Read  Only Memory)
เป็นความจำมราใช้เก็บโปรแกรมข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  ข้อมูลที่เก็บถาวรไม่ขึ้นอยู่กับไฟฟ้าที่ป้อนให้กับวงจร  ยอมให้ซีพียูอ่านข้อมูลหรือโปรแกรมไปใช้งานได้อย่างเดียวไม่สามารถใช้เขียนข้อมูลลงไปเก็บไว้ได้โดยง่ายส่วนใหญ่โปรแกรมควบคุม    เราเรียกว่า หน่วยความจำประเภทนี้ว่าหน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน


2.)หน่วยความจำสำรอง (Secondary Memory Unit)
  หน่วยความจำสำรอง  หรือหน่วยเก็บข้อมูล  เป็นหน่วยเก็บข้อมูลที่สามารถรกษาข้อมูลได้ตลอดไปหลังจากที่เราปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว
       หน่วยความจำรองมีหน้าที่หลักคือ
1.ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือสำรองข้อมูลเพื่อใช้ในอนาคต
2.ใช้ในการเก็บข้อมูล  โปรแกรมไว้อย่างถาวร
3.ใช้เป็นสื่อในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง

ประโยชน์ของหน่วยความจำสำรอง
       หน่วยความจำสำรองจะช่วยแก้ปัญหาการสูญหายของข้อมูลอันเนื่องมาจากไฟฟ้าดับเพราะข้อมูลต่างๆที่ส่งมาประมวลผล เมื่อเรียบร้อยแล้ว  ผลลัพธ์ที่ได้จะถูกนำไปเก็บในความจำหลักประเภทแรม   หากปิดเครื่องหรือมีปัญหาทางไฟฟ้า  อาจทำให้ข้อมูลสูญหายจึงจำเป็นต้องมีหน่วยความจำรอง  เพื่อนำข้อมูลจากหน่วยความจำแรมมาเก็บไว้ใช้งานในครั้งต่อไป  หน่วยความจำประเภทนี้ส่วนใหญ่จะพบในรูปของสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลภายนอก  เช่น  ฮาร์ดดิสก์  แผ่นบันทึก  ชิปดิสก์ ซีดีรอม เทปแม่เหล็ก  หน่วยความจำแบบแฟรช  หน่วยความจำรองนี้  ถึงจะไม่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์  แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ยังสามารถทำงานได้ปกติ  
    
     ส่วนแสดงผลข้อมูล
ส่วนแสดงผลข้อมูล  คือส่วนที่แสดงผลข้อมูลจากสัญญาณไฟฟ้าในหน่วยประมวลผลกลางให้เป็นรูปแบบที่คนเราสามารถเข้าใจได้  อุปกรณ์ที่แสดงผลข้อมูลไดเก่  จอภาพ(Monitor,Screen)  เครื่องพิมพ์(Printer) เครื่องพิมพ์ภาพ (Ploter) และลำโพง (Sperker) เป็นต้น 

บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ (Peoplewaer)
      บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง คนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้หรือควบคุมให้การใชเคอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่น อาจจะประกอบด้วยคนเพียงคนเดียว  หรือหลายคนช่วยกันรับผิดชอบโครงสร้างของหน่วยงานคอมพิวเตอร์


     ประเภทของบุคลากรทางคอมพิวเตอร์(Peoplewaer)
1.ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน
2.ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม
3.ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ
   
    บุคลากรในหน่วยงานคอมพิวเตอร์
1. หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์ (EDP  Manager)
2.หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนระบบงาน(System Analyst หรือ SA)
3.โปรแกรมเมอร์(Programmer)
4.ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์(Computer  Operator)
5.พนักงานจัดเตรียมข้อมูล(Data  Entry)

-นักวิเคราะห์ระบบงาน
 ทำการศึกษาระบบงานเดิม  ออกแบบระบบงานใหม่
- โปรแกรมเมอร์
นำระบบงานใหม่ที่รักวิเคราะห์ระบบออกแบบไว้มาสร้างเป็นโปรแกรม
- วิศกรระบบ
ทำหน้าที่ออกแบบ  สร้าง  ซ่อมบำรุง  และดูแลรักษาฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามต้องการ
- พนักงานปฏิบัติการ
ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่  หรือภารกิจประจำวัน  ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์


1.)ผู้จัดการระบบ(System Maneger)
คือ  ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมายของหน่วยงาน
2.)นักวิเคราะห์ระบบ(System Analyst )
คือ ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทำการวิเคราะห์ความเหมาะสม  ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน  เพื่อให้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นผู้เขียนโปรแกรมให้กับระบบงาน
3.)โปรแกรมเมอร์(Programmer)
คือ ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำงานตามความต้องการของผู้ใช้  โดยเขียนตามแผนผังที่นักวิเคราะห์ระบบเขียนไว้
4.)ผู้ใช้ (User)
คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป  ซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้งานโปรแกรม เพื่อให้โปรแกรมที่มีอยู่สามารถทำงานได้อย่างต้องการ

ซอฟแวร์(Software)
      ซอฟต์แวร์ คือ การลำดับขั้นตอนการทำงานของคำสั่งที่จะทำหน้าที่สั่งคอมพิวเตอร์ว่าให้ทำอะไรเป็นชุดของโปรแกรมหลายๆโปรแกรมมารวมกันให้สามารถทำงานได้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ต้องการ  เรามองไม่เห็นหรือสัมผัสไม่ได้แต่เราสามารถสร้าง จัดเก็บ และนำมาใช้งานหรือเผยแพร่ได้ด้วยสื่อหลายชนิด เช่น แผ่นบันทึก แผ่นซีดี แฟรชไดร์ฟ ฮาร์ดดิสก์  เป็นต้น

หน้าที่ของซอฟต์แวร์
  ซอฟต์แวร์ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์ เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท 

ประเภทของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์แบ่งออกป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
  -ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)
  -ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
  -ซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ
1.ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)
    ซอฟต์แวร์ระบบเป็นโปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับระบบ หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวร์ระบบคือ ดำเนินงานพื้นฐานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น รับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระแล้วแปลความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ นำข้อมูลไปแสดงผลบนจอภาพหรือนำออกไปยังเครื่องพิมพ์ จัดการข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูลบนหน่วยความจำรอง
    -(System Software)หรือเป็นโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีคือ DOS, Windows, Unix,Linux รวมทั้งโปรแกรมแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, Fortran , Pascal, Cobol, C เป็นต้น
   นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบ  เช่น   Norton's Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบด้วยเช่นกัน

หน้าที่ของซอฟต์แวร์ระบบ
1.) ใช้ในการจัดการหน่วยรับเข้าและหน่วยส่งออกเช่น รับรู้การกดแป้นพิมพ์ต่างๆบนแผงแป้นอักขระ ส่งรหัสตัวอักษาออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์ ติดต่อกับอุปกรณืรับเข้าและส่งออกอื่นๆ เช่น เมาส์ ลำโพง เป็นต้น
2.)ใช้ในการจัดการหน่วยความจำเพื่อนำข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุยังหน่วยความจำหลักหรือในทำนองกลับกันคือ นำข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาเก็บไว้ในแผ่นบันทึก
3.)ใช้เป้นตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ายมากขึ้น เช่น การขอดูรายการในสารระบบ (Directory) ในแผ่นบันทึก การนำสำเนาแฟ้มข้อมูล
ซอฟต์แวร์ระบบพื้นฐานที่เห็นกันทั่วไปแบ่งออกเป็นระบบปฏิบัติการ และตัวแปลภาษา

ประเภทของซอฟต์แวร์ระบบ
ซอฟต์แวร์ระบบแบ่งเป็น2 ประเภทคือ
1.ระบบปฏิบัติการ (Operating System : OS)
เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการดูแลระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการนี้ ระบบการปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมากและเป็นที่รู้จักกันดี เช่น ดอส วินโดวส์ ยูนิกซ์ ลีนุกซ์ และแมคอินทอช เป็นต้น
1) ดอส (Disk Operating System :DOS) เป็นซอฟต์แวร์จัดระบบงานที่พัฒนามานานแล้ว การใช้งานจึงใช้คำสั่งเป็นตัวอักษร ดอสเป็นซอฟต์แวร์ที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในอดีต ปัจจุบันระบบปฏิบัติการดอสนั้นมีการใช้งานน้อยมาก

2)วินโดว์ (Windows) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาการจากดอส โดยให้ผู้ใช้สามารถสามารถสั่งงานได้จากเม้าส์มากขึ้น แทนการใช้แผงแป้นอักขระเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ยังสามารถทำงานได้หลายงานพร้อมกันได้ โดยงานแต่ละงานจะอยู่ในกรอบช่องหน้าต่างบนจอภาพ การใช้งานเน้นรูปแบบกราฟฟิก ผู้ใช้สามารถใช้เม้าส์เลื่อตัวชี้เพื่อเลือกตำแหน่งที่ปรากฎบนจอภาพ ทำให้ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ง่าย ระบบปฏิบัติการวินโดวส์จึงได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
3) ยูนิกซ์ (Unix) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ครั้งใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ระบบปฏบัติการยูนิกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด (Open System) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้องผูกติดกับระบบใดระบบหนึ่งหรือใช้อุปกรณ์ที่มียี่ห้อเดียวกัน ยูนิกซ์ยังถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในลักษณะที่มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกันที่เรียกว่า ระบบหลายผู้ใช้ (multiusers) และสามารถทำงานได้หลายๆงานในเวลาเดียวกันในลักษณะที่เรียกว่า ระบบหลายภารกิจ (multitasking) ระบบปฏิบัติการยูกซ์จึงนิยมใช้กับเครื่องที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย เพื่อใช้งานร่วมกันหลายๆเครื่องพร้อมๆกัน


4) ลีนุกซ์ (Linux) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาจากระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ เป็นระบบซึ่งมาการแจกจ่ายโปรแกรมต้นฉบับให้นักพัฒนาช่วยกันพัฒนาคุณสมบัติของระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์เป็นที่นิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมีโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ที่ทำงานบนระบบลีนุกซ์จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมในระบบของกูส์นิว (GNU) และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือระบบลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการประเภทแจกฟรี (Free ware) ผู้ใช้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ระบบลีนุกซ์ สามารถทำงานได้บนซีพียูหลายตระกูล เช่น อินเทล (PC Intel) ดิจิตอล (Digital Alpha Computer) และซันสปาร์ค (Sun Sparc) ถึงแม้ว่าในขณะนี้ลีนุกซ์ยังไม่สามารถแทนที่ระบบปฏิบัติการวินโดวส์บนพีซีได้ทั้งหมดก็ตาม แต่ผู้ใช้จำนวนมากได้หันมาใช้และช่วยพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนลีนุกซ์กันมากขึ้น

5) แมคอินทอช (Macintosh) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แมคอินทอช ส่วนมากนำไปใช้ในด้านกราฟฟิก ออกแบบและจัดตกแต่งเอกสาร นิยมใช้ในสำนักพิมพ์ต่างๆ
นอกจากระบบปฏิบัติการที่กล่าวมาแล้ว ยังมีระบบปฏิบัติการอีกมาก เช่นระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานร่วมกันเป็นระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการเน็ตแวร์ นอกจากนี้ยังมีระบบปฏิบัติการที่ใช้งานเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่องานใดงานหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในสถาบันการศึกษา

ชนิดของระบบปฏิบัติการ จำแนกตามการใช้งานสามารถจำแนกออกเป็น 3 ชนิดด้วยกัน คือ
1. ประเภทใช้งานเดียว (Single-tasking) ระบบปฏิบัติการประเภทนี้จะกำหนดให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งละ1งานเท่านั้น ใช้ในเครื่องขนาดเล็กอย่างไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบปฏิบัติการดอสเป็นต้น
2. ประเภทใช้หลายงาน (multi-tasking) ระบบปฏิบัติการประเภทนี้สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหลายงานในขณะเดียวกัน ผู้ใช้สามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดในเวลาเดียวกัน เช่น ระบบปฏิบัติการ Windows 98 ขึ้นไป และ Unix เป็นต้น
3. ประเภทใช้งานหลายคน (multi-user) ในหน่วยงานบางแห่งอาจใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ทำหน้าที่ประมวลผล ทำให้ในขณะใดขณะหนึ่งมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันหลายคน แต่ละคนจะมีสถานีงานของตนเองเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ จึงต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่มีความสามารถสูง เพื่อให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถทำงานเสร็จในเวลา เช่น ระบบปฏิบัติการ Windows NT และ UNIX เป็นต้น
2.ตัวแปรภาษา
การพัฒนาซอฟแวร์ต้องอาศัยซอฟแวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงเพื่อแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง
ภาษาระดับสูงมีหลายภาษาซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งง่าย เข้าใจได้ และเพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟต์แวร์ในภายหลังได้
ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นทุกภาษาต้องมีตัวแปลภาษา ซึ่งภาษาระดับสูงได้แก่ ภาษาBasic, Pascal, C และ ภาษาโลโก เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกมาก ได้แก่ Fortran, Cobol, และภาษาอาร์พีจี

ซอฟแวร์ประยุกต์ (Application Software)
2.2 ซอฟแวร์ประยุกต์ (Application Software)
ซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ทำงานเฉพาะด้าน เช่น การจัดพิมพ์รายงาน การนำเสนองาน การจัดทำบัญชี การตกแต่งภาพ หรือการออกแบบเว็ปไซต์ เป็นต้น

ประเภทของซอฟต์แวร์ประยุกต์
แบ่งตามลักษณะการผลิต จำแนกเป็น 2 ประเภทคือ
1.ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ (Proprietary Software)
2.ซอฟต์แวร์ที่หาซื้อได้ทั่วไป (Packaged Software) มีทั้งโปรแกรมเฉพาะ (Customized Package) และ โปรแกรมมาตรฐาน (Standard Packege)

แบ่งตามกลุ่มการใช้งาน จำแนกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆดังนี้
1.กลุ่มการใช้งานทางธุรกิจ (Business)
2.กลุ่มการใช้งานด้านกราฟฟิกและมัลติมีเดีย (Graphic And Multimedia)
3.กลุ่มการใช้งานบนเว็ป (Web and Communications)

กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย
                        ซอฟแวร์กลุ่มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยจัดการด้านงานกราฟิกและมัลติมีเดีย เพื่อให้งานง่ายขึ้น เช่น ใช้ตกแต่ง วาดรูป ปรับเสียง ตัดต่อภาพเคลื่อนไหว และการสร้างและออกแบบเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น
   

    โปรแกรมงานออกแบบ อาทิ Microsoft Visio Professional
    โปรแกรมตกแต่งภาพ อาทิ CorelDRAW, Adobe Photoshop
    โปรแกรมตัดต่อวิดิโอและเสียง อาทิ Adobe Premiere, Pinnacle Studio DV          
    โปรแกรมสร้างสื่อมัลติมีเดีย อาทิ Adobe Authorware, Toolbook Instructor, Adobe Director
   โปรแกรมสร้างเว็บ อาทิ Adobe Flash, Adobe Dreamweaver

กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร
            โปรแกรมส่งข้อความด่วน (Instant Messaging) อาทิ MSN Messenger/ Windows Messenger, ICQ
            โปรแกรมสนทนาบนอินเทอร์เน็ต อาทิ PIRCH, MIRCH
ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์
            การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมากเพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษา คอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร เป็นประโยค ข้อความ ภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่าภาษา คอมพิวเตอร์ระดับสูง ภาษาระดับสูงมีอยู่มากมาย บางภาษามีความเหมาะสมกับการใช้สั่งงานการ คำนวณทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ บางภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้สั่งงานทางด้านการจัดการข้อมูล
ซอฟต์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์
 เมื่อมนุษย์ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงาน มนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบ การที่บอกสิ่งที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลาง ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันแล้ว เรามีภาษาที่ใช้ใน การติดต่อซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกันถ้ามนุษย์ต้องการจะถ่ายทอดความต้องการให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และปฏิบัติตามจะต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้เราเรียกสื่อกลางนี้ว่า ภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุคประกอบด้วย
ภาษาเครื่อง (Machine Languages)
      เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณทางไฟฟ้า ใช้แทนด้วยตัวเลข 0 และ 1 ได้ ผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ ใช้ตัวเลข 0 และ 1 นี้เป็นรหัสแทนคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งโดยใช้ระบบเลขฐานสองนี้ คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เราเรียกเลขฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่งและใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ว่าภาษาเครื่อง
    การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันทีแต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก เพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นที่เป็นตัวอักษร
ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Languages)
      เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2 ถัดจากภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีช่วยลดความยุ่งยากลงในการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์ 
   แต่อย่างไรก็ตามภาษาแอสเซมบลีก็ยังมีความใกล้เคียงภาษาเครื่องอยู่มาก และจำเป็นต้องใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่าแอสเซมเบลอร์(Assembler) เพื่อแปลชุดภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง

ภาษาระดับสูง (High-Level Languages)
                        เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 เริ่มมีการใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่า Statements ที่มีลักษณะเป็น
ประโยคภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้ที่เขียนโปรแกรมสามารถเข้าใจชุดคำสั่งเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานง่ายขึ้น ผู้คนทั่วไปสามารถเรียนรู้และเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น เนื่องจากภาษาระดับสูงใกล้เคียงภาษามนุษย์ ตัวแปลภาษาระดับสูงเพื่อให้เป็นภาษาเครื่องนั้นมีอยู่ 2 ชนิด ด้วยกัน คือ 
คอมไพเลอร์ (Compiler) และ อินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter)

คอมไพเลอร์ จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่องก่อน แล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น
อินเทอร์พรีเตอร์ จะทำการแปลทีละคำสั่ง แล้วให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จแล้วจึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป ข้อแตกต่างระหว่างคอมไพเลอร์กับอินเทอร์พรี เตอร์จึงอยู่ที่การแปลทั้งโปรแกรมหรือแปลทีละคำสั่ง


วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์



คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องมือหรืออุปกรณ์ประเภทอิเล็คทรอนิกส์ที่ทำงานด้วยคำสั้ง ชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้หลายแบบ ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์คือ มีศักยภาพสูงในการคำนวณ ประมวลผลข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเลข รุปภาพ ตัวอักษร และเสียง

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
  •   คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์
      หมายถึง ส่วนที่ประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 5 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 หน่วยรับข้อมูลเข้า Input Unit
เป้นวัสดุอุปรณ์ที่นำมาเชื่อมต่อ ทำหน้าที่ป้อนสัญญาณเข้าสู่ระบบ เพื่อกำหนดให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามต้องการ  ได้แก่
  -แป้นอักขระ (Keyboard)

  -แผ่นซีดี  (CD-Rom)
  -ไมโครโฟน  (Microphon)เป็นต้น

ส่วนที่ 2  หน่วยประมวลผลกลาง (Central Proceaaing Unit)
 ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณทั้งทางตรรกะและคณิตศาสตร์  รวมถึงการประมวลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ

ส่วนที่ 3 หน่วยความจำ (Memory Unit)
ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่งที่ส่งมาจากหน่วยรับข้อมูลเพื่อเตรียมส่งไปประมวลผลยังหน่วยประมวลผลกลาง และเก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลแล้วเพื่อเตรียมส่งไปยังหน่วยแสดงผล
ส่วนที่ 4 หน่วยแสดงผล(Output Unit)
ทำหน้าที่แสดงข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล หรือผ่านการคำนวณแล้ว
ส่วนที่ 5 อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ (Peripheral Equipment)
เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น เช่น โมเด็ม (Modem) แผงวงจรเชื่อมต่อเครือข่าย เป็นต้น

     ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
1. มีความเร็วในการทำงานสูง สามารถประมวลผลคำสั่งได้อย่างรวดเร็วเพียงชั่ววินาที จึงใช้ในงานคำนวณต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
2.มีประสิทธภาพในการทำงานสูง ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้แทนกำลังคนได้มาก
3.มีความถูกต้องแม่นยำ ตามโปรแกรมสั่งงานและข้อมูลที่ใช้
4.เก็บข้อมุลได้มาก ไม่เปลืองเนื้อที่เก็บเอกสาร
5.สามารถโอนย้ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งผ่านระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน